วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

การเลี้ยงแพะแบบยั่งยืน


จากการเริ่มต้นอย่างไรกับการเลี้ยงแพะ ก็มีคำถามตามมาว่า แล้วเลี้ยงแพะอย่างไรให้รอด ผมก็เลยถามกลับไปว่า รอดคืออะไร รอดคือแพะที่เราเลี้ยงไม่ตาย หรือว่ารอดคือคนเลี้ยงแพะไม่ตาย หรือว่าอะไรครับ?

รอด ก็คือ แพะรอด เรารอด ครอบครัวเรารอด และธุรกิจก็อยู่รอดด้วยค่ะ

โอเค รอดก็รอด แต่ผมล่ะ จะรอดคำถามนี้ไปได้รึเปล่า
จากนั้นก็ได้ตะลอนหาคำตอบอยู่พักหนึ่ง ก็หลากหลายความเห็น พอประมวลได้ว่า ยุกนี้สมัยนี้มันก็ต้องเลี้ยงแบบพอเพียง แบบผสมผสาน แบบยั่งยืนซิ ผมก็ถามกลับไปว่าแล้วแบบยั่งยืนคือแบบไหน แล้วแบบไหนถึงจะยั่งยืนละครับ

ในที่สุดผมก็ต้องไปถาม Google เพราะเป็นที่พึ่งอันดับแรกและอันดับสุดท้ายของผม และก็เหมาสรุปเอาเองว่า แบบยั่งยืน ก็คือแบบผสมผสานและพอเพียง พึ่งพาตนเองและพึ่งพาท้องถิ่นเป็นหลัก รู้จักใช้ปัจจัยต่างๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดและไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำเทคนิกหรือวิธีการแบบปราชญ์ชาวบ้านหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ให้ได้ผลดี คุ้มค่าต่อการลงทุน ไม่เบียดเบียนตนเองและความมั่นคงของครอบครัว ไม่แน่ใจว่าจะมีใครงงกับผมมั้ยนี้

พูดง่ายก็คือ ท้องถิ่นเรามีอะไรก็ให้นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เช่น เราปลูกข้าวโพด หลังจากหักฝักไปแล้ว ก็เอาต้นและใบข้าวโพดมาเลี้ยงแพะ มีหญ้าขึ้นรกไปหมดก็ตัดมาให้แพะกิน หรือหยูกยาก็ให้แพะกินพืชสมุนไพร เป็นทั้งอาหารและยาป้องกันโรคไปในตัว

Read More......

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ไข้


สำหรับแฟนพันธุ์แท้ของคุณหมอพรหล้า ที่ยังไม่หายคิดถึงคุณหมอ ก็ขอต่ออีกเรื่องก็แล้วกัน เพราะอ่านดูแล้วก็ต่อเนื่องกันกับที่เพิ่งจากนำเสนอไปด้วยเรื่องเสียงของปอด ถ้าพร้อมแล้วก็อ่านบทความเรื่อง ไข้ ของคุณหมอได้เลยครับ ^_^

มีคำที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นจากปกติ 100-102.8-103 F คือ
1 ไข้ จริงๆ
2 อุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นจากการตากแดดหรือออกกำลัง ไข้แดด ทำนองนั้น

ทั้งสองอย่างอันตรายทั้งคู่ เพราะทำให้สมองเสียหายได้ ชักจนระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ตายได้ ไข้นั้นมีทั้งจาก ไข้จากการติดเชื้อโรค และ ไข้จากไม่ทราบสาเหตุ

เมื่อไหร่จะใช้ยาลดไข้ ก็เมื่อมีไข้สูงและเมื่อมั่นใจที่มาของไข้ เพราะยาลดไข้ไปแก้ไขที่สมองให้อุณหภูมิลดลง แต่สาเหตุไม่ได้เป็นที่สมองทีนี้พอใช้ยาไปโดยที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้ก็กลายเป็นว่ายิ่งทำให้หาต้นสายปลายเหตุของไข้หรือความรุนแรงของโรคยากเข้าไปอีก

อย่าลืมว่า ถ้าสัตว์เป็นไข้ เพราะติดเชื้อโรคในร่างกาย ไข้นี้เกิดขึ้นเพื่อทำลายเชื้อโรคอีกทางหนึ่งที่ร่างกายใช้ต่อสู้ แต่เผอิญว่าไข้มันรุนแรงไป เช่นเกิน 104 F ก็พาลจะทำให้สมองเสียหายไปด้วย คิดเอาประมาณว่า เอาเลือดร้อนๆไปลวกสมองแล้วกันนะ

แล้วเมื่อไหร่ ไม่ต้องใช้ยาลดไข้
ก็เมื่อ เช็ดตัวด้วยน้ำเย็นเจี๊ยบๆ ตามซอกขาตามหน้า ตัว พาเข้าร่ม อากาศดี ลมโชย แล้วไข้ก็ลดลงอันนี้อาจเป็นเพียงไข้แดด อุณหภูมิเลยขึ้นเฉยๆ หรือเป็นไข้ที่เกิดจากการติดเชื้อจริงๆก็ได้ แต่ว่าถ้าเราเช็ดตัว ป้อนน้ำกิน ให้น้ำเกลือแล้วลดไข้ได้ ให้ยาฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของไข้ได้

แล้วทำไมต้องให้ยาลดไข้ด้วยหละ (ไม่ต้องให้เพื่อปลุกปลอบใจตัวเอง หรือระดมยิงไว้ก่อน)
แต่ถ้าทำทุกอย่างไปแล้วไข้ยังไม่ลดอีก อันนี้อาจเข้าข่ายไข้แบบไม่ทราบสาเหตุหรือเกิดความผิดปกติของสมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับการดูแลอุณหภูมิของร่างกาย อันนี้ก็จะลึกลงไปอีก

แล้วคิดดูหากเกิดการมั่วระดมยิง จนเราเองก็งง แล้วจะไปสรุปว่าเป็นไข้ไม่ทราบสาเหตุได้ไง )เพราะเมื่อให้ยาลดไข้ไปกลบอาการไว้ แสดงว่าเราต้องตามดูอีกเรื่อยๆ หรือรอจนกว่ายาจะหมดฤทธิ์ซึ่งก็เป็นการเพิ่มชั่วโมงการทำงาน โดยใช่เหตุแถมทำให้เราประเมินอาการสัตว์ต่ำไปกว่าที่เป็นจริงอีกต่างหาก

ทีนี้มาถึงเรื่องลดไข้ อย่าให้ไข้ลดลงอย่างฮวบฮาบ ไม่ว่าจะมาจาก การเช็ดตัว หรือยาลดไข้ เช่น เกิน 2-3องศาใน 1 ชม. อันนี้เดิ๋ยวจะทำให้สมองสับสน แล้วอุณหภูมิร่างกายจะลดลงไปแบบไม่มีที่สิ้นสุดเป็นเหตุให้ตัวเย็นตายได้อีก สรุปว่า เมื่อมีไข้ต้องติดตามด้วยปรอทวัดไข้จนกว่าจะปกติ

ฉนั้น เมื่อมีไข้ ให้คิดถึงการเช็ดตัว ก่อนการฉีดยาลดไข้ เพื่อที่จะได้ไม่งง ไม่หลงทางคือเช็ดตัวไป วัดไข้ไป เรื่อยๆ เราจะเห็นแนวโน้มของอุณหภูมิ เรียกว่าภายใน 15-30 นาทีแรกก็เห็นความแตกต่างแล้ว

ยาฉีดไปแล้ว ดูดคืนไม่ได้ นะคะ

Read More......

เสียงปอดของแพะ


ช่วงนี้มีเวลาว่างอยู่บ้าง จึงเข้าไปดูกระทู้เก่าๆ กะว่าจะเอามาเล่าใหม่ เพราะมีสมาชิกถามมาว่า คุณหมอพรหล้าหายไปไหนหรือค่ะ ก็เลยไปดูที่กระทู้ที่คุณหมอเขียน หรือตอบ และช่วงนี้ฝนตกหนักเพราะเป็นฤดูฝน จึงขอนำข้อมูลเรื่องปอด ที่คุณหมอโพสต์ไว้มาเผยแพร่ต่อก็แล้วกัน ^_^

ช่วงนี้มีเคส โรคปอดเข้ามาบ่อยมาก
อยากให้ทุกคน ระวัง และปรับตัวให้ทันกับการแปลี่ยนแปลงของอาการที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว

อีกอย่างที่สังเกตุพบว่า เสียงปอดแพะในแถบกรุงเทพ เสียงดังกว่าปกติ แม้จะไม่ได้แสดงอาการป่วยแต่จริงๆแล้ว เสียงปอดมันจะเงียบกว่านี้ ที่เป็นอย่างนี้อาจเพราะ แพะมีจุดอ่อน ที่ปอดและโดยสภาพร้อนชื้นนั้น ไม่ส่งผลดี ทำให้เกิดร่อยรอยความเสียหายที่ปอด เวลาฟังเสียงจึงดังกว่าปกติแม้ไม่แสดงอาการ แต่สิ่งนี้จะสะสมไว้เมื่อเกิดเหตุติดเชื้อเล็กๆน้อยๆก็จะลุกลามใหญ่โตได้อย่างรุนแรงและรวดเร็ว

ฉนั้นโปรดตามหมอ ก่อนที่มันจะไม่กินหรือ เอาแต่นอน ไม่มีแรง ให้ตามหมอตั้งแต่มันเริ่มไออย่าปล่อยจนขี้มูกเหนียวข้นเป็นกาว

ลองนึกภาพของคนที่สูบบุหรี่ เขาก็มีถุงลมโป่งพองบางส่วน แต่ส่วนอื่นๆมันก็ทำงานชดเชยให้ก็ไม่มีอาการอะไรแต่หากเกิดปอดชื้นขึ้นก็ย่อมรุนแรงจนกลายเป็นปอดบวมแบบเร็วและร้ายกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ ทำนองนั้น

ขอระบายหน่อยนะ ค่ะ
แบบว่ามาตามหมอตอนที่หัวใจมันกำลังจะไป หายใจไม่ไหวแล้ว ไม่กินอาหารแล้ว ร่างกายขาดน้ำอย่างมากหมอจะทำไงได้ ในเมื่อ
1 การให้ยาในสภาพร่างกายขาดน้ำนั้น เป็นผลเสียมากกว่าผลดี
2 ร่างกายที่ขาดน้ำ ต้องให้น้ำเกลือที่มีพลังงาน ก็ให้เร็วไม่ได้ เพราะเดี๋ยวน้ำจะไปท่วมปอดมากขึ้น
3 งั้นเปลี่ยนเป็นป้อน ก็กลืนไม่ไหวเพราะไม่มีแรง และกลั้นหายใจเวลากลืนไม่ได้ แค่นอนเฉยๆก็หายใจไม่พออยู่แล้ว
4 การให้น้ำเกลือที่ช้ามาก ไม่สามารถจะชดเชยการขาดน้ำที่รุนแรงได้ทัน และ ไม่สามรถเพิ่มความดันเลือดได้ก็ช่วยหัวใจไม่ได้อยู่ดี
5 การให้น้ำเกลือเข้าใต้ผิวหนัง ก็ดี แต่ไม่สามารถให้ชนิดที่มีน้ำตาลได้ แต่สัตว์ต้องการพลังงานจะเอาที่ไหนดี
6 ถ้าขั้นนี้แล้ว ต้องมีการให้ออกซิเยน แต่หมอก็แบกถังไปไม่ได้ ครั้นอุ้มแพะขึ้นรถ มันก็หัวใจจะวายแล้วและค่าใช้จ่ายก็เป็นคำตอบที่บอกว่าราคาไม่ได้ เพราะให้กันเป็นวันๆ

ฉนั้น ฉนั้น ฉนั้น โปรดเรียกหมอตั้งแต่มันเริ่มไอ(แบบว่าเหนื่อยและบำบากมาก ในการกู้ชีวิต และมักไม่ทันการณ์ แล้วแพะก็มักจะแกล้งหมอด้วยการดีขึ้นในช่วงแรกๆ พอหมอจะกินข้าวเย็นหรือจะเข้านอน มันก็เริ่มจะออกเดินทางเหมือนหลอกให้เราหนื่อยฟรี ตั้งหลายชั่วโมง แต่จริงๆแล้ว อากาศช่วงหัวค่ำ เป็นอาการที่ไม่เหมาะสมถ้าทำงานสำเร็จจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แต่พอมันตายนะ จะเหนื่อยไปอีกเป็นวันๆ)

คำตอบเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่หมอ แต่อยู่ที่โรงเรือน นะคะ

Credit:ภาพจาก http://www.fao.org/ag/aga/agah/empres/GEMP/resources/prnt-ppr-cp-PPRman.htm

Read More......

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

เริ่มต้นอย่างไรกับการเลี้ยงแพะ



สนใจอยากจะเลี้ยงแพะ ควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี, เลี้ยงแพะเนื้อหรือแพะนมดี เลี้ยงแพะพันธุ์ หรือแพะขุน อย่างไหนดีกว่ากัน เลี้ยงแพะพันธุ์อะไรดี สร้างโรงเรือนแบบไหนถึงจะดี เลี้ยงแพะแล้วจะขายให้ใคร คำถามเหล่านี้ดูจะเป็นคำถามยอดฮิตประจำเว็บบอร์ดเลยก็ว่าได้

และหนึ่งในนั้นก็คือผมเอง เมื่อครั้งแรกเริ่มหาคำตอบบางอย่างให้กับตนเอง และก็มีเพื่อนๆ แห่งโลกไซเบอร์ ช่วยกันขานไขให้คำตอบมาหลายต่อหลายท่าน แตกต่างกันไป หลายๆ ท่าน หลายๆ คนเชิญชวนให้ไปเที่ยวชมถึงฟาร์ม ได้พูด ได้คุย ซักถาม เบื้องลึกเบื้องหลังกันได้เต็มที่ ก็พอจะประมวลได้ว่า เราควรจะเริ่มต้นด้วยการหาข้อมูลก่อนเป็นอันดับแรก ศึกษาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ข้อมูลที่ควรจะรู้ก็ได้แก่ พันธุ์แพะสายพันธุ์ต่างๆ แล้วดูว่ามีสายพันธุ์ใดบ้างที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เราตั้งใจว่าจะใช้เป็นสถานที่ตั้งฟาร์มของเรา

เมื่อเข้าใจเรื่องสายพันธุ์ที่น่าจะเลี้ยงแล้ว ก็ต้องหาข้อมูลเรื่องการตลาด ว่าตลาดที่เราต้องการนั้นอยู่ทีใด อยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ ถ้าอยู่ในประเทศแล้วอยู่ส่วนไหนของประเทศ อย่าลืมว่ายุคนี้เป็นยุคทุนนิยมผ่านคอมพิวเตอร์ข้อมูลเดินทางได้เร็วมาก ใครมีข้อมูลดีย่อมได้เปรียบ และถ้าใครที่มีทุนหนาด้วยยิ่งน่ากิ่งเกรง ดังนั้นถ้าจะทำธุรกิจการเกษตรด้านแพะก็ต้องพร้อมด้วยข้อมูลด้านนี้เพื่อป้องกันความล้มเหลวในธุรกิจของเรา

ข้อมูลด้านต่อไปที่ควรจะรู้ก็คือ อาหาร ทั้งอาหารหยาบและอาหารข้น เพราะถ้าเราจะเลี้ยงแพะเชิงธุรกิจแล้ว อาหารถือว่าเป็นหัวใจของการเลี้ยง อาหารดีมีคุณค่ามาก สร้างประโยชน์กับแพะในการแปลงหญ้าและอาหารเป็นนมและเนื้อได้ดี

อีกเรื่องก็คือเรื่องโรค โรคแพะที่สำคัญ เป็นกันมาก และทำความเสียหายมาก หรือว่าโรคธรรมดาๆ แต่ว่าสามารถสร้างความเสียหายได้ถ้าหากว่าเราละเลย ศึกษาวิธีป้องกันและบำบัดอย่างถูกต้อง ให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และสภาพแวดล้อม

ส่วนโรงเรือนก็ยึดหลักว่า ให้แพะอยู่สบายก็แล้วกัน คำว่าสบายๆ ทุกท่านคงจะเข้าใจดีกันอยู่แล้ว คุณหมอพรหล้า เคยพูดว่า อยู่ภาคอีสานแล้วสร้างโรงเรือนขวางตะวันอย่างนี้แพะก็ร้อนตาย แล้วแพะมันจะสบายๆ ได้อย่างไร อย่างนี้แพะก็เครียด ผลผลิตก็ลดลงด้วย ส่วนควรจะลงทุนเท่าไรนั้น ก็ตามกำลังทรัพย์ก็แล้วกัน

และที่สำคัญและไม่รู้ไม่ได้ คือเรื่องการจัดการฟาร์ม บริหารจัดการอย่างไรให้มีต้นทุนที่ต่ำที่สุด มีคุณภาพที่สุด และไม่เป็นเหตุให้เกิดปัจจัยลบด้านต่างๆ ตามมาด้วย

แพะพันธุ์ดี กินหญ้าดีอาหารดี อยู่สบายดี คนเลี้ยงจัดการดี เท่านี้ธุรกิจการเกษตรแพะก็ไปได้โลดแล้ว

Credit: ปากกานาพายัพ, นิตยสารแพะเศรษฐกิจ, ปีที่1, ฉบับที่2, วันที่ 15 ต.ค. - 14 พ.ย. 49 บทบรรณาธิการ เรื่องแพะ




Read More......